3 มะเร็งที่พบบ่อย
โรคมะเร็งนับเป็นโรคที่ครองแชมป์อัตราการเสียชีวิตมานาน จากข้อมูลสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณะสุขบ่งชี้อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งในประเทศไทยว่าเพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะพฤติกรรมต่างๆ ที่คอยทำร้ายสุขภาพทั้งแบบรู้ตัว และแบบไม่รู้ตัว เช่น
- การสูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์
- อ้วนลงพุง
- รับประทานอาหารเกินความจำเป็น
- ไม่ออกกำลังกาย
- เครียด และนอนดึก
ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งต่างๆ ซึ่งมีหลายประเภทแต่โรคมะเร็งที่มีอัตราการพบและอัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยนั้น ขอแยกออกเป็นมะเร็งที่พบในเพศชาย และเพศหญิง โดยขอยกมา 3 อันดับที่พบมากที่สุดดังนี้
3อันดับ โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชาย
1.มะเร็งตับ
เกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็ง หรืออาจเกิดจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากบริเวณอื่นมายังตับ
อาการของโรคมะเร็งตับมักไม่ชัดเจนและไม่แสดงอาการให้เห็น โดยระยะเริ่มต้นจะมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร เป็นระยะที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยอาจรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตับได้เมื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพ แต่เมื่อเริ่มมีการแสดงอาการ มะเร็งจะเป็นในระยะแพร่กระจายหรือระยะที่มีความรุนแรงของโรคแล้ว (advanced stage) ซึ่งอาการที่แสดงนั้นได้แก่
- ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณข้างขวาส่วนบน ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หลังหรือไหล่ ท้องบวมขึ้น
- น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่รับประทานตามปกติ
- เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
- คลำพบก้อนที่บริเวณตับ
- ตัวเหลืองและตาเหลือง
สาเหตุการเกิดมะเร็งที่ตับเกิดจากการที่ดีเอ็นเอในเซลล์ตับเกิดกลายพันธุ์จนทำให้โครงสร้างเซลล์เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เซลล์เติบโตขึ้นอย่างผิดปกติและพัฒนาเป็นเนื้องอกในที่สุด สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้ดังนี้
- อัตราการพบมะเร็งตับในเพศชายสูงกว่าในเพศหญิง
- ผู้ป่วยเป็นโรคชนิดอื่นที่สัมพันธ์หรือสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ ได้แก่
- โรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี ที่สร้างความเสียหายต่อตับอย่าง
ถาวรและทำให้ตับวายได้
- โรคตับแข็ง กว่าครึ่งของผู้ป่วยมะเร็งตับเป็นโรคตับแข็งร่วมด้วย
- โรคเบาหวาน
- มะเร็งตับอาจสัมพันธ์กับโรคอ้วน และโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุราได้ด้วย
- โรคตับที่สืบทอดทางพันธุกรรมที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ ภาวะธาตุเหล็กในตับมากเกินไป ภาวะทองแดง
คั่งในร่างกาย
- การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินควร พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากเป็นเวลาติดต่อหลายวันจะก่อให้
เกิดอันตรายต่อตับอย่างต่อเนื่องและเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง
- การสูบบุหรี่ ผู้ที่ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบอยู่แล้วและมีพฤติกรรมสูบุหรี่จะยิ่งเสี่ยงเป็นมะเร็งตับยิ่งขึ้น
- การได้รับสารเคมีอันตรายจากยากำจัดวัชพืช เช่น สารไวนิล คลอไรด์ (Vinyl Chloride) และสารหนู(Arsenic)
ที่อาจพบได้จากบ่อน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เมื่อได้รับเป็นเวลานานอาจเกิดการสะสมจนเกิดโรคต่างๆ
ตามมามากมาย ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งตับ
- การใช้อนาโบลิคเสตียรอยด์ (Anabolic steroids) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่นักกีฬามักใช้เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ หาก
ใช้เป็นเวลานานจะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ รวมถึงมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย
มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของลำไส้ใหญ่ เซลล์มีการแบ่งตัวแบบเพิ่มจำนวนจนควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้กลายเป็นเนื้องอก และใช้ระยะเวลาบ่มเพาะตัวเองนานหลายปีจนกลายเป็นเนื้อร้าย เป็นมะเร็งที่สามารถลุกลามแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ง่ายที่สุด
บ่อยครั้งอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจไปคล้ายกันกับโรคอื่นๆ หรืออาจไม่ได้แสดงอาการมากนัก ทำให้เราไม่ได้ทันระวังตัว จนเป็นเหตุให้จากเนื้องอกธรรมดาๆ กลายเป็นเนื้อร้ายที่ยากต่อการรักษา ดังนั้น เราจึงควรตั้งข้อสงสัยและหมั่นสังเกตอาการให้ดี โดยหากมีอาการบ่งชี้เหล่านี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที
- ท้องเสีย ท้องผูก หรือรู้สึกท้องอืดบ่อยๆ
- อุจจาระปนเลือดสดๆ หรือเลือดสีคล้ำมาก
- น้ำหนักลดลงอย่างผิดสังเกต ทั้งๆ ที่รับประทานตามปกติ ไม่ได้ควบคุมหรือลดปริมาณลง
- ไม่สบายท้อง รวมทั้งปวดแสบร้อน อาหารไม่ย่อย และปวดเกร็ง
- อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง เบื่ออาหาร รับประทานได้น้อย
- ภาวะโลหิตจาง
สาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดขึ้นได้หลายปัจจัยดังนี้
- การกลายพันธุ์ของยีน ยีนที่เกิดการกลายพันธุ์จะไม่สามารถควบคุมการทำงานของเซลล์จนเติบโตกลายเป็นเซลล์
มะเร็งลุกลามไปยังเซลล์ข้างเคียงก่อนจะก่อตัวเป็นเนื้อร้ายได้ ซึ่งยีนอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย และจะถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมการทำงานเซลล์ต่างๆ จากรุ่นไปสู่อีกรุ่น
- การรับประทานอาหาร รูปแบบการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบตะวันตกมากขึ้น ซึ่งเป็นอาหาร
ประเภทไขมันสูงและมีกากใยอาหารต่ำ โดยพบว่าผู้ที่มีการกินอาหารลักษณะนี้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
- สาเหตุอื่น อาจถูกกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น
- พันธุกรรม
- ผู้สูงอายุ
- โรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ใหญ่
- ไม่ออกกำลังกาย
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- โรคอ้วน โรคเบาหวาน
เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบได้มากในเพศชาย โดยมักจะเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ บริเวณต่อมลูกหมากซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย มีลักษณะคล้านลูกเกาลัดเล็กๆ ทำหน้าที่ผลิตน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงและลำเลียงอสุจิ มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มแรกจะไม่แสดงอาการจนกว่าเนื้องอกจะไปทำให้ต่อมลูกหมากใหญ่โตขึ้นหรือเมื่อมะเร็งลุกลามไปเกินกว่าบริเวณต่อมลูกหมาก เซลล์มะเร็งที่เจริญเติบโตขึ้นจนเกิดแรงกดทับต่อท่อปัสสาวะ เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลุกหมากมักมีปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะดังนี้
- ปัสสาวะนาน ปัสสาวะขัด ลำของปัสสาวะอ่อนแรง หรือปัสสาวะเป็นหยดๆ
- ปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติโดยเฉพาะตอนกลางคืน
- รู้สึกเจ็บปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ
- บางรายที่อาการรุนแรงอาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
อาการอื่น ๆ ของมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะที่เป็นมากยังอาจมีดังนี้
- น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
- คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนล้า
- มีอาการบวมที่ร่างกายส่วนล่างลงไป
สาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น เกิดจากเซลล์ในต่อมลูกหมากที่ผิดปกติและมีการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ จนเซลล์เติบโตและขยายขึ้นรวดเร็วกว่าปกติ ทำให้ลุกลายทำลายเซลล์ที่ปกติในบริเวณดังกล่าว ในขณะที่เซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้จะมีชีวิตต่อไป และก่อให้เกิดเนื้องอกที่สามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบข้าง ทั้งยังอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย มะเร็งต่อมลูกหมากยังอาจเกิดได้จากปัจจัยอื่นๆ โดยบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค ได้แก่
- ผู้สูงอายุ
- มีบุคคลในครอบครัวที่เคยป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
- ผู้ป่วยโรคอ้วน
3อันดับ โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิง
เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติส่วนใดส่วนหนึ่งภายในเต้านมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะลุกลามไปสู่เนื้อเยื้อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นของร่างกาย มะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่พบในเพศชายในอัตราที่น้อยมาก
มะเร็งเต้านมในระยะแรกแทบไม่แสดงอาการใดๆ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยการคลำพบก้อนเนื้อในเต้านมหรือบริเวณรักแร้มากที่สุด อาการอื่นๆ อาจสังเกตได้จาก
- มีก้อนหนาๆ เต้านมหรือใต้แขน
- หัวนมบุ๋ม ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนไปจากเดิม
- เป็นแผล
- อาการปวดบริเวณเต้านม
- มีน้ำเหลืองหรือของเหลวสีคล้ายเลือดไหลออกมา
- เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม
ยังไม่พบสาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านมที่แน่ชัด แต่พบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิง ทั้งจากสภาพแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมการใช้ชีวิต อายุที่มากขึ้น ผู้หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีช่วงระยะของการมีประจำเดือนนาน และอีกหลายปัจจัย ทั้งนี้บางปัจจัยสามารถแก้ไขได้ แต่บางปัจจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ความผิดปกติทางพันธุกรรม เป็นต้น
เป็นมะเร็งที่เกิดบริเวณปากมดลูกของผู้หญิง มีอาการบ่งชี้ คือ ตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวคล้ายหนอง เลือดออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติโดยที่ไม่ใช่เลือดประจำเดือน มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่อยู่ในวัยทองมีเลือดออกหลังจากที่หมดประจำเดือนไปแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปมักไม่พบอาการแสดงในระยะแรกที่เริ่มป่วย แต่จะมีอาการเมื่อเซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปแล้ว
อาการของมะเร็งปากมดลูกสัญญาณของโรคมักจะเกิดขึ้นเมื่อมะเร็งเริ่มเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว โดยจะมีอาการ เช่น มีเลือดออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติ มีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ (ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้) ตกขาวมีเลือดหรือหนองปน ช่องคลอดมีกลิ่นผิดปกติ ปวดในช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ และยังมีอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากมีการลึกลามของเซลล์มะเร็งไปยังเนื้อเยื้ออวัยวะอื่นๆ เช่น
- ไม่อยากอาหาร
- น้ำหนักลด
- ปัสสาวะมีเลือดปน
- ปวดกระดูกบริเวณต่างๆ
โดยหากพบอาการผิดปกติที่น่าสงสัยดังกล่าวข้างต้น ผู้ป่วยต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันที
สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก กว่า 99% มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus)ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และยังมีสาเหตุอื่นที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อมะเร็งปากมดลูกได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะก่อนมะเร็งมดลูก (CIN) ภูมิคุ้มกันต่ำ การสูบบุหรี่ และการมีลูกหลายคน
มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ที่สามารถป้องกันไวรัสนี้ได้บางสายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง HPV-16 และ HPV-18 ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ด้วยตนเอง ด้วยการป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดต่อ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ไม่สูบบุหรี่ ดูแลสุขภาพร่างกาย ตรวจสุขภาพ และตรวจด้วยชุดคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นระยะ และรีบไปพบแพทย์หากพบอาการแสดงของโรคที่น่าสงสัย เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก หรือเพื่อให้ทราบระยะของการป่วยแล้วเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนมะเร็งจะลุกลาม
ไม่ใช่แม้แต่ในกลุ่มเพศชาย เพศหญิงก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับสูงเช่นกัน มะเร็งตับเกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณตับมีลักษณะหรือการทำงานผิดปกติแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด หรืออาจเกิดจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากบริเวณอื่นมายังตับก็ได้
อาการของโรคมะเร็งตับมักไม่ชัดเจนและไม่แสดงอาการให้เห็น โดยระยะเริ่มต้นจะมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร เป็นระยะที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยอาจรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งตับได้เมื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพ แต่เมื่อเริ่มมีการแสดงอาการ มะเร็งจะเป็นในระยะแพร่กระจายหรือระยะที่มีความรุนแรงของโรคแล้ว (advanced stage) ซึ่งอาการที่แสดงนั้นได้แก่
- ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณข้างขวาส่วนบน ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หลังหรือไหล่ ท้องบวมขึ้น
- น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่รับประทานตามปกติ
- เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
- คลำพบก้อนที่บริเวณตับ
- ตัวเหลืองและตาเหลือง
สาเหตุการเกิดมะเร็งที่ตับเกิดจากการที่ดีเอ็นเอในเซลล์ตับเกิดกลายพันธุ์จนทำให้โครงสร้างเซลล์เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เซลล์เติบโตขึ้นอย่างผิดปกติและพัฒนาเป็นเนื้องอกในที่สุด สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้ดังนี้
- อัตราการพบมะเร็งตับในเพศชายสูงกว่าในเพศหญิง
- ผู้ป่วยเป็นโรคชนิดอื่นที่สัมพันธ์หรือสามารถพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ ได้แก่
- โรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี ที่สร้างความเสียหายต่อตับอย่าง
ถาวรและทำให้ตับวายได้
- โรคตับแข็ง กว่าครึ่งของผู้ป่วยมะเร็งตับเป็นโรคตับแข็งร่วมด้วย
- โรคเบาหวาน
- มะเร็งตับอาจสัมพันธ์กับโรคอ้วน และโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุราได้ด้วย
- โรคตับที่สืบทอดทางพันธุกรรมที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ ภาวะธาตุเหล็กในตับมากเกินไป ภาวะทองแดง
คั่งในร่างกาย
- การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินควร พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากเป็นเวลาติดต่อหลายวันจะก่อให้
เกิดอันตรายต่อตับอย่างต่อเนื่องและเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง
- การสูบบุหรี่ ผู้ที่ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบอยู่แล้วและมีพฤติกรรมสูบุหรี่จะยิ่งเสี่ยงเป็นมะเร็งตับยิ่งขึ้น
- การได้รับสารเคมีอันตรายจากยากำจัดวัชพืช เช่น สารไวนิล คลอไรด์ (Vinyl Chloride) และสารหนู(Arsenic)
ที่อาจพบได้จากบ่อน้ำที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เมื่อได้รับเป็นเวลานานอาจเกิดการสะสมจนเกิดโรคต่างๆ
ตามมามากมาย ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งตับ
- การใช้อนาโบลิคเสตียรอยด์ (Anabolic steroids) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่นักกีฬามักใช้เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ หาก
ใช้เป็นเวลานานจะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ รวมถึงมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย